วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ประวัติของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ประวัติของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า


      สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle) เป็นบริเวณสมมติในมหาสมุทรแอตแลนติก มี เนื้อที่ประมาณ 1.2 ตร.กม. อยู่ระหว่างจุด 3 จุดที่ไม่เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของมลรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวด้าซึ่งเป็นดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐาน


         สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เริ่ม เป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากที่มีเรือขนาดใหญ่หายสาบสูญภายในบริเวณสามเหลี่ยม รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ จนได้รับขนานนามว่า สามเหลี่ยมปีศาจ” (The Devil’s Triangle)
          ศัพท์คำว่า สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าหรือ “Bermuda Triangle” นี้ มีที่มาจากบทความนิตยสารอาร์กอสซี่ เจ้าของบทความชื่อ Vincent H. Gaddis ได้นำเสนอเรื่องราวของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างลึกลับโดยปราศจากคำ อธิบายในนิตยสารดังกล่าว เมื่อปี ค.ศ. 1964 แต่ แกดดิส ไม่ได้เป็นคนแรกที่สังเกตเรื่องนี้ ก่อนหน้าในปี ค.ศ. 1952 นาย George X. Sands เสนอเรื่องทำนองนี้เช่นกันในนิตยสาร Fate เนื้อหากล่าวถึงปริมาณของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างผิดปกติในบริเวณ น่านน้ำดังกล่าว ซึ่งยอดสูญหายนี้มันมากเกินไปกว่าที่จะสันนิษฐานว่าเป็นอุบัติเหตุ
          ต่อมาถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า “Limbo of the Lost” ถัดจากนั้นก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสาม เหลี่ยมเบอร์มิวด้า ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า “The Devil’s Triangle” ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งเนื้อหาสำหรับเป็นที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยเบอร์มิวด้า เป็นอันมาก เป็นที่น่าสังเกตคือ หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้ มาจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมาจากมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกันและบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามีอาณา บริเวณที่กว้างมากจาก ฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ ห้าแสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการจะค้นหาอะไรๆจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐ เอกชน ต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้  และมีนักบินขี่เครื่องบินสามลำแล้วหายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ที่มา : เว็บไซต์ http://jindacatdogp2j.wordpress.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9A/

ตำนานสัตว์ในเทพนิยายเปกาซัส

ตำนานสัตว์ในเทพนิยายเปกาซัส


ประวัติม้าเปกาซัส
กลุ่มดาวม้าปีก Pegasus เป็นม้ามีปีกที่เนรมิตขึ้นโดย โปไซดอน หลังจากที่ เปอร์ซีอุสตัดหัวเมดูซ่า ม้าปีกก็พุ่งออกมาจากเลือดที่ออกจากไหลร่างกายของเมดูซ่า รอยเท้าของมันกลายเป็นสระน้ำ Hippocrene บนภูเขา Helicon และต่อมาได้กลายมาเป็นม้าของเบลเลโรฟอน   
เบลเลโรฟอน เกิดในโครินธ์ เป็นลูกชายของพระราชา Glaucus ได้รับการฝึกสอนการขี่ม้าจากพ่อของเขาจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขี่ม้ามากที่สุดคนหนึ่ง เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี จึงได้ออกไปผจญภัยในโลกกว้าง ระหว่างการเดินทางเขาได้พบกับ Proteus ที่แกล้งเป็นมิตรกับเขา แต่จริงๆแล้วเขากลับอิจฉาเบลเลโรฟอน จึงพยายามหาวิธีทำให้เบลเลโรฟอนตาย โปรเตอุส เป็นลูกเลี้ยงของพระราชา Iobates แห่ง Lycia จึงแกล้งทำเป็นมีไมตรีฝากจดหมายให้เบลเลโรฟอนนำไปให้พระราชา เมื่อเขามาถึงไลเซีย เบลเลโรฟอนพบว่าดินแดนแห่งนี้ปกคลุมด้วย เงาดำ ในทุกๆคืน คีเมร่า(Chimera)
สัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นสิงโตและหางเป็นมังกร เดินลงมาจากหุบเขา  และคาบผู้หญิง, เด็ก และปศุสัตว์ไปกินทุกคืน โครงกระดูกของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย



กระจัดกระจายไปทั่วหุบเขา ผู้คนทั้งหลายตกอยู่ในความหวาดกลัว เมื่อพระราชาโลเบเตสอ่านจดหมายที่เบลเลโรฟอนนำมาส่ง เขาก็รู้ทันทีว่าโปรเตอุสลูกเลี้ยงของเขาต้องการเขาประหารชีวิตเบลเลโรฟอน ถึงแม้ว่าเขาจะอยากตามใจลูกเลี้ยงของเขา แต่เขาก็เกรงว่า การประหารชีวิตโดยตรงอาจจะทำให้เกิดสงครามกับเมืองโคธินเรียน เขาจึงขอร้องให้เบลเลโรฟอนไปปราบคีเมร่าแล้วเขาจะยกเจ้าหญิงลูกสาวของเขาให้แต่งงานกับเบลเลโรฟอน เพราะเขาแน่ใจว่าไม่เคยมีใครที่ไปปราบคีเมร่าแล้วรอดชีวิตกลับมา เบลเลโรฟอนรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้ต่อสู้กับคีเมร่า เพราะว่าเขาดีใจที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือประชาชนปราบสัตว์ประหลาดที่คุกคามผู้คนทั้งหลาย เขาจึงเตรียมตัว โดยไปขอคำแนะนำจากยอดนักปราชญ์ Polyidus แห่งไลเซีย โพลีอิดัสประทับใจในความกล้าหาญของเขา จึงบอกให้ เขาไปที่วิหารเทพธิดาเอธีน่าและนำของกำนัลไปให้เพื่อขอคำแนะนำในการจับม้าวิเศษเปกาซัส เบลเลโรฟอนทำตามคำแนะนำของโพลีอิดัสทุกประการ และเมื่อเขาหลับไป เทพธิดาเอธีน่าก็มาเข้าฝัน


บอกว่าสระน้ำแห่งใดที่ม้าวิเศษเปกาซัสจะไปดื่มน้ำ และมอบบังเหียนทองแก่เขา  พอเขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า พบบังเหียนทองตกอยู่ข้างๆตัวเขา เขาก็รู้ว่าเขาไม่ได้ฝันไป เทพธิดาเอธีน่ามาช่วยเขาจริงๆ เบลเลโรฟอนออกเดินทางไปในป่า เพื่อค้นหาสระน้ำ Pirene ที่เทพธิดาเอธีน่าบอกไว้ เมื่อพบเขาก็ซ่อนตัวในพุ่มไม้ข้างสระน้ำพิเรเน่ เมื่อเปกาซัสบินมาถึงสระน้ำ เขารอจนมันก้มตัวดื่มน้ำในสระ เขาก็กระโดดออกมาจากที่ซ่อน แล้วหยิบบังเหียนทองมาครอบหัวม้า เปกาซัสตกใจรีบบินขึ้นไปบนฟ้าและพยายามสะบัดสลัด เพื่อให้เบลเลโรฟอนตกจากหลังของมัน แต่เบลเลโรฟอนมีความชำนาญในการขี่ม้าพยศมาก่อน ไม่ว่ามันจะสลัดสะบัดยังไงเขาก็ไม่ตกจากหลังของมัน เขาเกาะไว้จนมันเหนื่อย และเชื่องจนยอมให้เขาเป็นเจ้านายของมัน หลังจากนั้น เบลเลโรฟอนเดินทางไปยังเชิงผาที่คีเมร่าอาศัยอยู่ แล้วหยิบหอกยาวพุ่งเข้าแทงคีเมร่า แต่คีเมร่าก็พ่นไฟออกมาตอบโต้ เปกาซัสจึงบินหลบไปด้านหลังของคีเมร่าเพื่อหลบไฟ แล้วเปกาซัสก็บินอ้อมกลับมาด้านหน้า ก่อนที่มันจะพ่นไปอีกครั้ง เบลเลโรฟอนอาศัยโอกาสนี้พุ่งหอกเข้าปักหัวใจของคีเมร่า จนมันตาย และขี่เปกาซัสบินกลับไปยังวัง แล้วตามสัญญาที่ตกลงไว้กับพระราชา เบลเลโรฟอนก็ได้แต่งงานครองคู่กับเจ้าหญิงอย่างมีความสุข แต่หลายปีผ่านไป เบเลโรฟอนเกิดเบื่อการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในวัง อยากออกไปผจญภัยเหมือนสมัยหนุ่ม จึงขี่เปกาซัส บินไปเยี่ยมเทพเจ้าบนเขาโอลิมปัส ซุสเคืองในความโอหังของเบเลโรฟอนจึงส่งเหลือบไปกัดม้า จนเปกาซัสตกใจสลัดเบเลโรฟอนลงจากหลัง และบินหนีขึ้นไปบนสวรรค์{กลายเป็นกลุ่มดาวเปกาซัส} ส่วนเบเลโรฟอน ขณะที่ตกลงมาเทพเอธีน่าก็เสกให้พื้นดินกลายเป็นหญ้าที่อ่อนนุ่มรองรับร่างของเบเลโรฟอนไว้ หลังจากนั้นเขาจึงออกเดินทางตามหาเปกาซัส อย่างโดดเดี่ยวจนตายไปในที่สุด

ที่มา : เว็บไซต์ http://legendto.blogspot.com/2013/07/blog-post_21.html

เทพเจ้ายอดเขาโอลิมปัส

เทพเจ้ายอดเขาโอลิมปัส
  


      เทพโอลิมเปียน (The Olympians/ Major gods) เทพที่อาศัยบนยอดเขาโอลิมปัส Olympus มีทั้งหมด 12 องค์ แต่ถ้านับอย่างถี่ถ้วนจะมีทั้งสิ้น 16 องค์
    1. ซุส (Zeus) เป็นราชาของบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายและเหล่ามนุษย์บนโลก ซุสมีอาวุธเป็น Thunderbolt (สายฟ้า) เทพซุสมีพี่น้องซึ่งเป็นเทพปกครองโลกร่วมกัน 5 องค์ ได้แก่ เทพโปเซดอน เทพีดีมิเทอร์ เทพีเฮรา เทพฮาเดส และเทพีเฮสเตีย
     2. โปเซดอน (Poseidon) เทพเจ้าแห่งท้องทะเล สัญลักษณ์ของพระองค์คือ สามง่ามหรือ ตรีศูลที่สามารถแหวกน้ำทะเลและทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้
     3. ดิมิเทอร์ (Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรรม การเก็บเกี่ยว
     4. เฮรา (Hera) ราชินีแห่งสวรรค์ เป็นทั้งน้องสาวของซุสและเป็นภรรยาด้วย เฮราเป็นเทพีแห่งการให้กำเนิดทารก การสมรส และสตรี สัตว์ประจำพระองค์คือนกยูง
     5. เฮสเทีย (Hestia) เทพีพรหมจรรย์แห่งการครองเรือน เทพแห่งครอบครัว ในฐานะของเทพีผู้รักษาบ้าน พระนางเป็นผู้ที่สร้างบ้านขึ้นเป็นคนแรก วิหารของพระนางอยู่ที่กรุงโรม ซึ่งจะได้รับการบวงสรวงจากสาวพรหมจารี พระนางมีสัญลักษณ์เป็นไฟนิรันดร
      6. แอเรส (Ares) เทพแห่งสงคราม บุตรของ ซุส กับ เฮรา สัตว์ประจำพระองค์คือเหยี่ยวและสุนัขมังกรไฟ (บางตำราว่าเป็นนกแร้ง)
      7. อพอลโล (Apollo) เทพเจ้าแห่งการทำนาย กีฬา การรักษาโรคภัย การดนตรี และ เป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ เป็นบุตรแห่ง ซุส และ เทพีลีโต (Leto) มีน้องสาวฝาแฝดชื่อ อาร์ทามิส (Artemis) อะพอลโลมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คือ ต้นลอเรล Laurel สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือนกกาเหว่าและห่าน เครื่องดนตรีพระจำพระองค์คือพิณ วิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์อยู่ที่เดลฟี Delphi ซึ่งที่นั่นจะมีนักบวชคอยบอกคำทำนายของพระองค์ให้แก่ประชาชนที่มาสักการบูชา
      8. อาร์เทมีส (Artemis) เทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ เป็นบุตรีของซุสและ เทพีลีโต เป็นน้องสาวแฝดของอะพอลโล พระองค์เป็นเทพีพรหมจรรย์องค์หนึ่งใน 3 องค์ ภาพที่ผู้คนเห็นอยู่เสมอๆ คือพระองค์จะถือธนูและศร มีสุนัขติดตาม สวมกระโปรงสั้น บางครั้งอาจเห็นเธออยู่บนรถศึกเทียมด้วยกวางขาว
      9. เฮอร์เมส (Hermes) เทพแห่งการค้า การโจรกรรม และผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ เป็นบุตรของ ซุส กับ มีอา พระองค์มักจะปรากฏกายในลักษณะสวมหมวกขอบกว้าง สวมรองเท้ามีปีก ถือคทาที่มีงูพัน
       10. อธีนา (Athena) เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด และศิลปศาสตร์ทุกแขนงของกรีกรวมถึงศิลปะการต่อสู้ด้วย ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์คือต้นมะกอก เทพีอธีนาเป็นผู้ที่มอบมะกอกให้กับมนุษย์เป็นองค์แรก ทำให้เมือง Athens ได้ใช้ชื่อของพระองค์เป็นชื่อเมืองเพื่อเป็นเกียรติ
        11. อะโฟร์ไดท์ (Aphrodite) เทพีแห่งความรักและความงาม เป็นบุตรีของ ซุส กับ เทพีไดโอนี (บางตำราว่าเกิดจากฟองคลื่น) สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเธอได้แก่ นกกระจอก นกนางแอ่น ห่าน และเต่า ส่วนดอกไม้และผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระนางได้แก่กุหลาบ Myrtle และแอปเปิล กล่าวกันว่าพระนางเป็นเทพีผู้คุ้มครองเหล่าโสเภณีด้วย
        12. เฮฟเฟตัส (Hephaestus) เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง เป็นบุตรของ ซุส กับ เฮรา (บางตำราว่าเป็นบุตรของ Hera ผู้เดียว) พระองค์เป็นเทพที่พิการและอัปลักษณ์
        13. ไดโอไนซุส (Dionysus) เทพแห่งไวน์ การทำไวน์ และการเก็บเกี่ยวผลไม้ เป็นเทพองค์ล่าสุดที่ขึ้นไปอยู่บนโอลิมปัส
       14. เพอร์เซโฟเน (Persephone) เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ เป็นบุตรีแห่ง ซุส และ ดีมิเทอร์
       15. อีรอส (Eros) กามเทพ รู้จักกันดีในภาษาโรมันว่า คิวปิด (Cupid) เป็นบุตรแห่งเทพีความรัก อะโฟร์ไดตี้ และ เทพการศึกสงคราม เอเรส
       16. ฮาเดส (Hades) เทพแห่งใต่พิภพยมโลก และเป็นเทพดูแลอัญมณีใต้ดิน ชาวกรีกบูชาพระองค์ก่อนเสมอที่จะลงมือทำเหมืองแร่
      เทพชั้นรอง(Minor gods) เป็นเทพที่ไม่ได้อยู่บนเขาโอลิมปัส มีมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งเทพเหล่านี้ต่างก็มีหน้าที่และความสำคัญต่างๆ กันไป อาทิ เช่น
- Prometheus โพรมีธีอุส
- Eos อีออส
- Helios เฮลิออส
- Selena เซเลนา
- Aurora ออโรรา
- Pan แพน
- Iris ไอริส
- The Erinyes กลุ่มเทพีอิรินีอีส
  พวกอมนุษย์ (The Immortals) กลุ่มนี้จะเป็นพวกนางไม้ (Nymphs) ที่อยู่ตามป่า แม่น้ำ ลำธาร ถ้ำ หรือ ในทะเล หรือพวกสัตว์ประหลาดอย่างเช่น ยักษ์ตาเดียว ฯลฯ เหล่าอมุนษย์ของกรีกนั้นมีมากพอๆ กับพวกเทพเจ้า ดังนั้นจะขอกล่าวถึงเฉพาะวีรบุรุษที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันมากเท่านั้น เช่น
- Echo นางไม้เอ็คโค
- Cantaurs แซนทอร์
- The Cyclops ยักษ์ไซคลอปส์ (ยักษ์ตาเดียว)
- Harpies ปีศาจฮาร์พีส์
- Naiads
- The Oceanids นางพรายทะเลโอเซียนิดส์
- Amalthea นางไม้อมัลเธีย
- Satyrs ซาไทร์ส
- The Gorgons แม่มดกอร์กอนส์
- Atlas ยักษ์แอทลัส
พวกมนุษย์ (The Mortals) กลุ่มนี้จะรวมทั้งเหล่าวีรบุรุษและวีรสตรีของกรีกด้วย (The Heroes and Heroines) เหล่าวีรบุรุษและวีรสตรีของกรีกนั้น มีมากพอๆ กับพวกเทพเจ้า ดังนั้นจะขอกล่าวถึงเฉพาะวีรบุรุษที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันมากเท่านั้น
- Hercules เฮราคลีส เป็นผู้ที่ทำภารกิจทั้ง 12 ประการได้สำเร็จ เป็นผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุดในกรีก นอกจากนั้นยังสร้างวีรกรรมอีกมากมาย
- Odysseusโอดิซุส เป็นวีรบุรุษในสงครามกรุงทรอย เนื่องจากเป็นผู้คิดประดิษฐ์ม้าไม้ขึ้น และยังได้ผจญภัยในที่ต่างๆ อีกถึง 20 ปี ก่อนที่จะได้กลับบ้าน
- Jason เจสัน เป็นหัวหน้าคณะ Argonaut ไปตามหาขนแกะทองคำ
- Perseus เพอร์ซิอุส เป็นผู้สังหาร เมดูซา ได้สำเร็จ
- Bellerophon เบลเลโรโฟน เป็นผู้จับ เพกาซัส ได้ แล้วขี่มันไปสังหาร ไคเมร่า
- Theseus ธีซุส เป็นผู้สังหาร Minotaur ได้สำเร็จ
- Atalanta อตาลันต้า เป็นคนแรกที่ทำให้หมูป่าคาลิโดเนี่ย Caledonian บาดเจ็บได้ และเป็นผู้สังหาร Centaur ได้
- Melampus มีแลมพัส
- Oedipus โอดิพัส
- Achilles อคิลลิส
- Hector เฮคเตอร์
- Orestes โอเรสเตส
- Admetus + Alcestis แอ็ดมิทัส และ อัลเซสติส
- Aeneas อีนีอัส
- Caster + Pollux แคสเตอร์ และ พอลลักซ์
- Sisyphus ซิซิฟัส
- King Midas ไมดัส
- Tantalus แทนทาลัส
- Cadmus แคดมัส
- Asclepius แอสคลีปิอัส
- Orpheus ออร์ฟิอัส

ที่มา : เว็บไซต์ http://andaman2002.blogspot.com/2009/01/blog-post_6225.html